แบกเป้เที่ยวพม่าวันที่5 ตอน เที่ยวย่างกุ้ง
ต่อจากตอนที่แล้ว => แบกเป้เที่ยวพม่าวันที่4 ตอน พุกามวันที่ 2
หลังจากได้ตัดสินใจต่อเวลาอยู่ที่พุกามอีกหนึ่งวัน จากนั้นเราก็ได้ทำการจองตั๋วรถทัวร์ผ่านเจ้าหน้าที่ของเกสท์เฮ้าท์ที่เราพักอยู่เลย
สามทุ่มมีรถมารับที่เกสท์เฮ้าท์และไปส่งที่สถานีขนส่ง (Highway bus terminal ) ... ตั๋ว VIP แต่รถเหมือน ปอ.1 บ้านเรา แถวละ 4 ที่นั่ง เบาะแคบๆ
รถวันนี้มีปัญหานิดหน่อย ตอนจองตั๋วและหน้าตั๋วระบุว่าได้ที่นั่ง G3 แต่พอขึ้นรถกลับกลายเป็นว่า G3 แหม่มสาวนั่งเรียบร้อย และบัสโฮสเตสท์ ให้เรามานั่ง J3 ซึ่งเป็นที่นั้งหลังสุด พร้อมกับบอกว่าเสียใจ (Sorry) เนื่องจากผิดพลาดจากการสื่อสารระหว่างจองตั๋ว
จากพุกามมาถึงสถานีขนส่ง อ่อง มิงกาลา (Aung Mingalar) ที่ชานเมืองย่างกุ้ง ก็ใช้เวลาประมาณ 8 ชั่วโมง ( จากพุกามสามทุ่มกว่าๆ มาถึงก็ตีห้ากว่าๆ)
เมื่อมาถึงขนส่งทุกอย่างก็คล้ายๆกับที่อื่นๆ นั่นคือเสียงร้องเรียกเจี๊ยวจ้าวของแท๊กซี่และผู้ให้บริการอื่นๆ ส่วนเราก็ใช้มุขเดิมๆคือชิ่งหนีไปตั้งหลักก่อนแล้วค่อยกลับมาเจรจา
เราอยากศึกษาและเรียนรู้ แท๊กซี่จึงขอเก็บไว้เป็นทางเลือกสุดท้าย ... จากนั้นเราก็เลยหาข้อมูลเกี่ยวกับรถเข้าเมืองซึ่งก็ได้ผล ที่สถานีมีรถตู้วิ่งเข้าใจกลางเมืองนั้นคือสาย อ่อง-สุเล ( (Aung Mingalar - Sule Pagoda) ซึ่งให้ความรู้สึกประมาณว่าคล้ายๆกับรถตู้สาย นวนคร-อนุสาวรีย์ชัยฯ ... ค่าโดยสารคนละ 1000 จ๊าด หรือ 30 บาท ถ้าเป็นแท๊กซี่ก็จะต้องจ่ายประมาณ 7,000 -8.000 จ๊าด
เรามาถึงเจดีย์สุเล ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวกลางใจเมืองในตอนเช้าตรู่ ซึ่งตอนนั้นยังไม่มีอะไรน่าสน เราก็เลยนั่งรถเมล์โดยสารต่อไปที่ วัดเจดีย์โบดาทาวน์ (Botataung Pagoda ) และหยุดทานอาหารเช้าที่ร้านริมแม่น้ำย่างกุ้ง (ค่ารถเมล์คน 200 จ๊าด หรือ 6 บาท)
หลังจากเที่ยวชม ขอพรและสักการะสิ่งศักดิ์เพื่อความเป็นสิระมงคลเรียบร้อยแล้ว เราก็เดินทางต่อไปที่เจดีย์ชเวดากองซึ่งเป็นแลนด์มาร์ที่สำคัญของย่างกุ้ง ... โดยใช้บริการของรถเมล์โดยสารอีกเช่นเคยค่าโดยสารก็คนละ 6 บาท และใช้เวลาเดินทางประมาณ 20 นาทีก็ถึง
*** ห้ามสวมใส่รองเท้าขึ้นไปเดินบริเวณรอบๆเจดีย์ และเก็บค่าเข้าชมคนละ 10,000 จ๊าด หรือ 300 บาท
หลังจากเดินชมรอบๆอยู่ประมาณ 45 นาที ก็ทำการมูฟไปยังสถานีต่อไปซึ่งเป็นสวนสารธาณะ Kandawgyi Park ที่อยู่ใกล้ๆกับมหาเจดีย์ชวาเดกอง (สามารถเดินถึงกันได้ )
สวนแห่งนี้จะมีทางเดินเป็นสะพานไม้ยาวเป็นกิโลให้ชมวิวและเรือรูปหงส์ มีโซนร้านอาหาร เหมาะสำหรับมาเดินเล่นพักผ่อนหย่อยใจตอนเช้าๆหรือตอนค่ำๆ
จุดนี้เรามาผิดเวลา ตอนกลางวันๆอากาศค่อนข้างร้อน เราก็เลยได้แค่นั่งดูและสูดอากาศอยู่สักพักจากนั้นก็เดินทางต่อไปที่ตลาดสก๊อต (Scott Market) หรือตลาดโบย๊อก
การเดินทางไปตลาดโบย๊อกเที่ยวนี้เราเลือกใช้บริการแท๊กซี่ ราคา 2,500 จ๊าด ( 75 บาท) ใช้เวลาเดินทางประมาณ 10 นาที
จุดนี้ตอนลงจากรถเกือบพลาด ดันสับสนกับตัวเลข มองแบ๊งค์ 5,000 เป็นแบ๊งค์ 500 และจ่ายไปเรียบร้อยแล้ว 5 ใบ คนขับแท๊กซี่พี่แกก็เนียน โอเคๆ อย่างเดียว แต่โชคดีเผอิญสติสตางค์กลับมาทันท่วงเวลาก่อนลงจากรถ
เมื่อเดินทางมาถึงจุดนี้ก็ต้องผิดหวังเล็กๆ เนื่องจากเป็นวันจันทร์และเป็นวันหยุดตลาด ก็เลยได้แต่ยืนดูสถาปัตยกรรมที่ด้านนอกเท่านั้น... จากนั้นก็เดินเข้าร้านฟาสฟู๊ดส์ที่อยู่ข้างๆเพื่อเพิ่มเติมพลังงาน
หลังเติมพลังและเรียกความสดชื่นด้วยกาแฟเข้มๆแล้ว เราก็เดินทางต่อไปยังเจดีย์สุเล ซึ่งเป็นจุดที่รถตู้พาเรามาส่งเมื่อตอนเช้า ซึ่งอยู่ใกล้ๆกับตลาดโบย๊อก สามารถเดินถึงได้ภายในไม่กี่นาที
สี่วันที่ผ่าน 4 วัน 3 เมือง ผมค่อนข้างอิ่มกับการเช้าชมวัดและเจดีย์ ดังนั้นเมื่อมาถึงจุดนี้ ผมจึงไม่เลือกที่เข้าไปชมภายในเจดีย์อีก
ที่จุดนี้ได้แต่เดินดูเจดีย์อยู่รอบนอก เดินดูตึกที่อยู่ข้างๆซึ่งเป็นมรดกตกทอดและเป็นสภาปัตยกรรมของอังกฤษ และเลือกที่จะนั่งสัมผัสบรรยากาศช่วงแดดร่มลมตกอยู่ในบริเวณสวนหย่อมด้านข้างของเจดีย์ ดูกิจกรรมและดูการเคลื่อนไหวของผู้คนและนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวชมที่นี่
จากนั้นก็เตรียมตัวเดินทางไปยังเป้าหมายถัดไปคือวัดที่นักท่องเที่ยวนิยมไปอีกสองสามแห่ง ซึ่งตั้งอยู่บริเวณทางผ่านที่จะไปสนามบิน ซึ่งถือโอกาสเป็นการล่องกลับสนามบินไปในตัว
ที่คิดไว้ตั้งใจจะเดินทางโดยแท๊กซี่ แต่เผอิญได้มีโอกาสได้พูดคุยกับหลวงพีองค์หนึ่ง ซึ่งท่านให้ข้อมูลค่อนข้างดี และพาไปส่งถึงจุดขึ้นรถเมล์ เราก็เลยได้นั่งรถเมล์ศึกษาเส้นทาง ดูบรรยากาศสองข้างทางจนกระทั่งเดินทางมาถึงวัดงาทัตจีในเวลาประมาณ 40 นาทีในเวลาต่อมา..... หลวงพี่ใจดีมาก
จากนั้นก็เดินทางต่อไปที่วัดพระพุทธไสยาสน์เจาทัตยีหรือพระตาหวาน (Chaukhtatgyi Buddha) ซึ่งอยู่ใกล้กันกับวัดงาทัตจี
พระพุทธไสยาสน์เจาทัตยี หรือพระตาหวาน • พระพุทธไสยาสน์เจาทัตยี หรือพระตาหวาน เป็นพระนอนปางพุทธไสยาสน์องค์ใหญ่ มีความยาวกว่า 70 เมตร เป็นพระนอนที่ใหญ่ที่สุดและมีความงดงามที่สุดของประเทศพม่า ทั้งพระพักตร์และขนตาที่งดงาม ดวงตาของท่านเป็นแก้ว สั่งผลิตมาจากต่างประเทศ .... อ่านต่อ => พระนอนตาหวาน
หลังจากเยี่ยมชมและนมัสการพระตาหวานแล้ว ก็ตั้งใจว่าจะเดินทางไปต่อที่ เจดีย์กาบาเอ KaBa Aye Pagoda ซึ่งเป็นทางผ่านกลับไปสนามบิน
แต่เท่าที่ฟังข้อมูลจากคนท้องถิ่นแล้ว เขาบอกว่าจราจรติดขัดมาก หากไปหยุดแวะที่นี่เวลาอาจไม่พอและอาจตกเครื่อง.... เพื่อเป็นการเพลเซฟและปลอดภัยไว้ก่อนเราจึงหยุดการเดินทางต่อและจับแท๊กซี่เดินทางมุ่งหน้ากลับสนามบิน และบินกลับเมืองไทยเวลา 19.00 น.
เก็บตกที่สนามบิน
ที่บ้านการหิ้วปิ่นโตเอาข้าวไปกินที่ทำงาน อาจจะเป็นอะไรที่ดูเขินๆสำหรับหนุ่มสาวรุ่นใหม่สมัยใหม่ในยุคนี้
แต่ที่พม่า การหิ้วปิ่นโตข้าวมาจากบ้านถือเป็นเรื่องปกติ
จากภาพน้องนางน่าจะเป็นพนักงานต้อนรับภาคพื้นดินของสายการบิน
แบกเป้ครั้งนี้รวมแล้ว 5 วัน 4 คืน นับการเดินทางที่สนุก และท้าทาย รวมถึงได้ความรู้และประสบการณ์ มากมาย
ท่านใดสนใจหรือพอมีเวลาก็เลยดูนะ อย่ารอจนถึงวันที่หมดเรี่ยวแรงไปไหนไม่ไหวแล้วค่อยเที่ยว เพราะเมื่อวันนั้นมาถึงท่านอาจทำได้แค่ไปเยี่ยวแล้วเลี้ยวรถกลับ
Thanks ขอบคุณที่ติดตามครับ
แผนที่ประกอบเส้นทางเสือผ่านย่างกุ้ง
คลิปที่เกี่ยวข้อง
ต่อจากตอนที่แล้ว => แบกเป้เที่ยวพม่าวันที่4 ตอน พุกามวันที่ 2
หลังจากได้ตัดสินใจต่อเวลาอยู่ที่พุกามอีกหนึ่งวัน จากนั้นเราก็ได้ทำการจองตั๋วรถทัวร์ผ่านเจ้าหน้าที่ของเกสท์เฮ้าท์ที่เราพักอยู่เลย
สามทุ่มมีรถมารับที่เกสท์เฮ้าท์และไปส่งที่สถานีขนส่ง (Highway bus terminal ) ... ตั๋ว VIP แต่รถเหมือน ปอ.1 บ้านเรา แถวละ 4 ที่นั่ง เบาะแคบๆ
รถวันนี้มีปัญหานิดหน่อย ตอนจองตั๋วและหน้าตั๋วระบุว่าได้ที่นั่ง G3 แต่พอขึ้นรถกลับกลายเป็นว่า G3 แหม่มสาวนั่งเรียบร้อย และบัสโฮสเตสท์ ให้เรามานั่ง J3 ซึ่งเป็นที่นั้งหลังสุด พร้อมกับบอกว่าเสียใจ (Sorry) เนื่องจากผิดพลาดจากการสื่อสารระหว่างจองตั๋ว
จากพุกามมาถึงสถานีขนส่ง อ่อง มิงกาลา (Aung Mingalar) ที่ชานเมืองย่างกุ้ง ก็ใช้เวลาประมาณ 8 ชั่วโมง ( จากพุกามสามทุ่มกว่าๆ มาถึงก็ตีห้ากว่าๆ)
เมื่อมาถึงขนส่งทุกอย่างก็คล้ายๆกับที่อื่นๆ นั่นคือเสียงร้องเรียกเจี๊ยวจ้าวของแท๊กซี่และผู้ให้บริการอื่นๆ ส่วนเราก็ใช้มุขเดิมๆคือชิ่งหนีไปตั้งหลักก่อนแล้วค่อยกลับมาเจรจา
เราอยากศึกษาและเรียนรู้ แท๊กซี่จึงขอเก็บไว้เป็นทางเลือกสุดท้าย ... จากนั้นเราก็เลยหาข้อมูลเกี่ยวกับรถเข้าเมืองซึ่งก็ได้ผล ที่สถานีมีรถตู้วิ่งเข้าใจกลางเมืองนั้นคือสาย อ่อง-สุเล ( (Aung Mingalar - Sule Pagoda) ซึ่งให้ความรู้สึกประมาณว่าคล้ายๆกับรถตู้สาย นวนคร-อนุสาวรีย์ชัยฯ ... ค่าโดยสารคนละ 1000 จ๊าด หรือ 30 บาท ถ้าเป็นแท๊กซี่ก็จะต้องจ่ายประมาณ 7,000 -8.000 จ๊าด
เรามาถึงเจดีย์สุเล ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวกลางใจเมืองในตอนเช้าตรู่ ซึ่งตอนนั้นยังไม่มีอะไรน่าสน เราก็เลยนั่งรถเมล์โดยสารต่อไปที่ วัดเจดีย์โบดาทาวน์ (Botataung Pagoda ) และหยุดทานอาหารเช้าที่ร้านริมแม่น้ำย่างกุ้ง (ค่ารถเมล์คน 200 จ๊าด หรือ 6 บาท)
นั่งรถมินิบัสจากสุเลมาประมาณสิบนาที เรามาถึงหน้าวัดเจดีย์โบดาทาวน์ เวลา 6.15 น, |
กองทัพเดินด้วยท้อง หยุดแวะเติมพลัง เติมน้ำชากาแฟที่ร้านค้าข้างวัดริมแม่น้ำย่างกุ้ง |
วัดเจดีย์โบดาทาวน์ ซึ่งต้องซื้อตั๋วบัตรผ่านเพื่อเข้าชม |
พระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้า
เจดีย์โบดาทาวน์ แปลว่า เจดีย์นายทหาร 1000นาย ตามตำนานเล่าขานว่า เมื่อราว 2000 ปีก่อน พระเจ้าโอกะลาปะ กษัตริย์มอญทรงบัญชาให้นายทหารระดับแม่ทัพตั้งแถวถวายสักการะแด่พระเกศาธาตุ ที่นายวาณิชสองพี่น้องอัญเชิญมาทางเรือและมาขึ้นฝั่งเมืองตะเกิงหรือดากอง ณ บริเวณนี้.... อ่านต่อคลิกที่นี่ => เจดีย์โบดาทาวน์ (ประวัติและเรื่องราวของเจดีย์ รวมถึงเรื่องราวของเทพทันใจและเพทกระซิบ
นัตโบโบจี หรือเพททันใจ ที่คนไทยรู้จัก |
ชุดบูชาเทพทันใจ มะพร้าวกับกล้วย ... ธรรมดาก็ถูกหน่อยถ้าเคลียบสีทองก็แพงหน่อย ณ จุดนี้พี่เสือก็แอบอธิฐานไว้เหมือนกัน แต่ยังไม่เป็นผลเลยแถมหนักกว่าเดิม ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้ไปแก้บนสักที |
เทพกระซิบ เป็นเทพอีกองค์ที่เป็นที่เคารพนับถือของคนทั่วไป |
หลังจากเที่ยวชม ขอพรและสักการะสิ่งศักดิ์เพื่อความเป็นสิระมงคลเรียบร้อยแล้ว เราก็เดินทางต่อไปที่เจดีย์ชเวดากองซึ่งเป็นแลนด์มาร์ที่สำคัญของย่างกุ้ง ... โดยใช้บริการของรถเมล์โดยสารอีกเช่นเคยค่าโดยสารก็คนละ 6 บาท และใช้เวลาเดินทางประมาณ 20 นาทีก็ถึง
พระมหาเจดีย์ชเวดากอง หรือ เจดีย์ทองแห่งเมืองดากองหรือตะเกิง (ชื่อเดิมของเมืองย่างกุ้ง) แห่งลุ่มน้ำอิระวดี มหาเจดีย์ที่ใหญ่ที่สุดของประเทศพม่า มีความสูงถึง 326 ฟุต ตามประวัติเล่าว่าพระมหากษัตริย์มอญคือพระเจ้าโอกะลาปะ ทรงเลื่อมใสในศรัทธาพระพุทธศาสนา ได้ทรางก่อสร้างองค์พระเจดีย์ชเวดากองขึ้นมาเมื่อกว่า 2000 ปี ก่อน ต่อมาพระมหากษัตริย์มอญและพม่าแทบทุกพระองค์.... อ่านต่อได้จากลิงค์นี้เลยจร้า => เจดีย์ชเวดากอง
นับว่าโชคดีที่ไปถึงตอนเช้า (ประมาณเก้าโมงเช้า) ซึ่งแดดยังไม่จัดและไม่ร้อนมาก ก็เลยทอดน่องเดินดูรอบๆได้อย่างสบายใจ ไม่ต้องรีบเร่ง
|
เจดีย์เหลืองอร่าม สวยงามมาก |
บริเวณรอบๆของเจดีย์ชเวดากอง |
21 พ.ย. 2017 8:59 hrs : บริเวณรอบๆ จะมีพระภิกษุ สามเณร และผู้คนที่มีจิตศรัทธาและเลื่อมใสในศาสนามานั่งทำกิจทางศาสนากันจำนวนมากบ้างก็นั่งสมาธิหันหน้าเข้าเจดีย์ บ้างก็กางตำราสวดมนต์ต่อหน้าเจดีย์ ฯลฯ |
หลังจากเดินชมรอบๆอยู่ประมาณ 45 นาที ก็ทำการมูฟไปยังสถานีต่อไปซึ่งเป็นสวนสารธาณะ Kandawgyi Park ที่อยู่ใกล้ๆกับมหาเจดีย์ชวาเดกอง (สามารถเดินถึงกันได้ )
เรือรูปหงษ์กลางสระน้ำ |
สะพานไม้ที่ทอดยาวเป็นกิโลไปกลางสระน้ำเพื่อให้เดินชมทัศนียภาพและเรือรูปหงษ์ |
ภาพพระอาทิตย์กำลังจะตกดิน ซึ่งสามารถมองเห็นมหาเจดีย์ชวาเดกองเป็นฉากหลังอยู่ใกล้ๆ (ภาพประกอบจาก tripadvisor.com ) |
จุดนี้เรามาผิดเวลา ตอนกลางวันๆอากาศค่อนข้างร้อน เราก็เลยได้แค่นั่งดูและสูดอากาศอยู่สักพักจากนั้นก็เดินทางต่อไปที่ตลาดสก๊อต (Scott Market) หรือตลาดโบย๊อก
การเดินทางไปตลาดโบย๊อกเที่ยวนี้เราเลือกใช้บริการแท๊กซี่ ราคา 2,500 จ๊าด ( 75 บาท) ใช้เวลาเดินทางประมาณ 10 นาที
จุดนี้ตอนลงจากรถเกือบพลาด ดันสับสนกับตัวเลข มองแบ๊งค์ 5,000 เป็นแบ๊งค์ 500 และจ่ายไปเรียบร้อยแล้ว 5 ใบ คนขับแท๊กซี่พี่แกก็เนียน โอเคๆ อย่างเดียว แต่โชคดีเผอิญสติสตางค์กลับมาทันท่วงเวลาก่อนลงจากรถ
รูปด้านหน้าของตลาดตลาดสก๊อต (Scott Market) หรือตลาดโบย๊อก ซึ่งเป็นสถานที่ช็อปปิ้งที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในประเทศพม่า เป็นแหล่งศูนย์รวมของฝากทุกชนิด |
เมื่อเดินทางมาถึงจุดนี้ก็ต้องผิดหวังเล็กๆ เนื่องจากเป็นวันจันทร์และเป็นวันหยุดตลาด ก็เลยได้แต่ยืนดูสถาปัตยกรรมที่ด้านนอกเท่านั้น... จากนั้นก็เดินเข้าร้านฟาสฟู๊ดส์ที่อยู่ข้างๆเพื่อเพิ่มเติมพลังงาน
หลังเติมพลังและเรียกความสดชื่นด้วยกาแฟเข้มๆแล้ว เราก็เดินทางต่อไปยังเจดีย์สุเล ซึ่งเป็นจุดที่รถตู้พาเรามาส่งเมื่อตอนเช้า ซึ่งอยู่ใกล้ๆกับตลาดโบย๊อก สามารถเดินถึงได้ภายในไม่กี่นาที
สุเล เจดีย์หลักกลางใจเมือง และเป็นวงเวียน |
เจดีย์นี้ตั้งอยู่กลางใจเมือง ไกล้แหล่งช๊อปปิ้งที่สำคัญๆ และเป็นจุดศูนย์รวมของรถโดยสารซึ่งส่วนใหญ่จะมารวมกันอยู่ที่นี่ จะกว่าไปแล้วหากเปรียบเทียบก็คงคล้ายๆกับอนุสาวรีย์ชัยฯ |
สี่วันที่ผ่าน 4 วัน 3 เมือง ผมค่อนข้างอิ่มกับการเช้าชมวัดและเจดีย์ ดังนั้นเมื่อมาถึงจุดนี้ ผมจึงไม่เลือกที่เข้าไปชมภายในเจดีย์อีก
ที่จุดนี้ได้แต่เดินดูเจดีย์อยู่รอบนอก เดินดูตึกที่อยู่ข้างๆซึ่งเป็นมรดกตกทอดและเป็นสภาปัตยกรรมของอังกฤษ และเลือกที่จะนั่งสัมผัสบรรยากาศช่วงแดดร่มลมตกอยู่ในบริเวณสวนหย่อมด้านข้างของเจดีย์ ดูกิจกรรมและดูการเคลื่อนไหวของผู้คนและนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวชมที่นี่
จากนั้นก็เตรียมตัวเดินทางไปยังเป้าหมายถัดไปคือวัดที่นักท่องเที่ยวนิยมไปอีกสองสามแห่ง ซึ่งตั้งอยู่บริเวณทางผ่านที่จะไปสนามบิน ซึ่งถือโอกาสเป็นการล่องกลับสนามบินไปในตัว
ที่คิดไว้ตั้งใจจะเดินทางโดยแท๊กซี่ แต่เผอิญได้มีโอกาสได้พูดคุยกับหลวงพีองค์หนึ่ง ซึ่งท่านให้ข้อมูลค่อนข้างดี และพาไปส่งถึงจุดขึ้นรถเมล์ เราก็เลยได้นั่งรถเมล์ศึกษาเส้นทาง ดูบรรยากาศสองข้างทางจนกระทั่งเดินทางมาถึงวัดงาทัตจีในเวลาประมาณ 40 นาทีในเวลาต่อมา..... หลวงพี่ใจดีมาก
ซุ้มประตูทางเข้าวัดงาทัตจี Nga Htat Gyi Pagoda |
วัดงาทัตจี Nga Htat Gyi Pagoda มีพระพุธรูปองค์ใหญ่ หลวงพ่องาทัตจี แปลว่า หลวงพ่อที่สูงเท่าตึก 5 ชั้น เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยที่แกะสลักจากหินอ่อน ทรงเครื่องแบบกษัตริย์ เครื่องทรงเป็นโลหะ ส่วนเครื่องประกอบด้านหลังจะเป็นไม้สักแกะสลักทั้งหมด และสลักป็นลวดลายต่างๆ จำลองแบบมาจากพระพุทธรูปทรงเครื่องสมัยยะตะนะโบง (สมัยมัณฑเลย์)
จากนั้นก็เดินทางต่อไปที่วัดพระพุทธไสยาสน์เจาทัตยีหรือพระตาหวาน (Chaukhtatgyi Buddha) ซึ่งอยู่ใกล้กันกับวัดงาทัตจี
พระพุทธไสยาสน์เจาทัตยี หรือพระตาหวาน • พระพุทธไสยาสน์เจาทัตยี หรือพระตาหวาน เป็นพระนอนปางพุทธไสยาสน์องค์ใหญ่ มีความยาวกว่า 70 เมตร เป็นพระนอนที่ใหญ่ที่สุดและมีความงดงามที่สุดของประเทศพม่า ทั้งพระพักตร์และขนตาที่งดงาม ดวงตาของท่านเป็นแก้ว สั่งผลิตมาจากต่างประเทศ .... อ่านต่อ => พระนอนตาหวาน
พระนอนปางพุทธไสยาสน์องค์ใหญ่ มีความยาวกว่า 70 เมตร |
หลังจากเยี่ยมชมและนมัสการพระตาหวานแล้ว ก็ตั้งใจว่าจะเดินทางไปต่อที่ เจดีย์กาบาเอ KaBa Aye Pagoda ซึ่งเป็นทางผ่านกลับไปสนามบิน
แต่เท่าที่ฟังข้อมูลจากคนท้องถิ่นแล้ว เขาบอกว่าจราจรติดขัดมาก หากไปหยุดแวะที่นี่เวลาอาจไม่พอและอาจตกเครื่อง.... เพื่อเป็นการเพลเซฟและปลอดภัยไว้ก่อนเราจึงหยุดการเดินทางต่อและจับแท๊กซี่เดินทางมุ่งหน้ากลับสนามบิน และบินกลับเมืองไทยเวลา 19.00 น.
เก็บตกที่สนามบิน
ที่บ้านการหิ้วปิ่นโตเอาข้าวไปกินที่ทำงาน อาจจะเป็นอะไรที่ดูเขินๆสำหรับหนุ่มสาวรุ่นใหม่สมัยใหม่ในยุคนี้
แต่ที่พม่า การหิ้วปิ่นโตข้าวมาจากบ้านถือเป็นเรื่องปกติ
จากภาพน้องนางน่าจะเป็นพนักงานต้อนรับภาคพื้นดินของสายการบิน
แบกเป้ครั้งนี้รวมแล้ว 5 วัน 4 คืน นับการเดินทางที่สนุก และท้าทาย รวมถึงได้ความรู้และประสบการณ์ มากมาย
ท่านใดสนใจหรือพอมีเวลาก็เลยดูนะ อย่ารอจนถึงวันที่หมดเรี่ยวแรงไปไหนไม่ไหวแล้วค่อยเที่ยว เพราะเมื่อวันนั้นมาถึงท่านอาจทำได้แค่ไปเยี่ยวแล้วเลี้ยวรถกลับ
Thanks ขอบคุณที่ติดตามครับ
แผนที่ประกอบเส้นทางเสือผ่านย่างกุ้ง
คลิปที่เกี่ยวข้อง
No comments:
Post a Comment