@ Vangvieng

แบกเป้เที่ยวลาวตอนที่  2   เที่ยววังเวียง(กุ้ยหลินเมืองลาว)

ภาพประกอบจากกลูเกิล

วังเวียงจัดได้ว่าเป็นเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของประเทศลาว ....เป็นเมืองที่มีความงดงาม โอบล้อมไปด้วยขุนเขา สายน้ำ ทุ่งนาและสายหมอก   จนเป็นที่รู้จักกันทั่วไปของนักท่องเที่ยวและให้สมญานามเมืองนี้ว่า " กุ้ยหลินเมืองลาว "  เลยที่เดียว







ต่อจากตอนที่แล้ว =>  เที่ยวชมเวียงจันทน์


     หลังเสร็จการเยี่ยมชมแลนด์มาร์คที่สำคัญๆของเวียงจันทน์เป็นที่เรียบร้อย   เสือน้อยก็ได้จับรถเดินทางต่อมาที่เมืองวังเวียง  โดยออกเดินทางมากับรถตู้โดยสารซึ่งมีผู้ร่วมทางประมาณ 5-6 ท่าน....

     ล้อเริ่มหมุนจากเวียงจันทน์ประมาณบ่ายสี่โมงและมาถึงจุดหมายวังเวียงประมาณเกือบทุ่ม ซึ่งคนขับก็ได้นำผู้โดยสารมาส่งที่ตลาดซึ่งเป็นย่านเกสท์เฮ้าท์และโรงแรมและเป็นแหล่งนัดพบของนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลก


     เหนื่อยกับการเดินทางมาทั้งคืน เมื่อมาถึงก็เลยจัดแจงเดินหาที่พักแบบทันทีทันใด   และก็ได้ที่พักแบบราคาประหยัดซึ่งอยู่ใกล้กับจุดจอดรถพอดี ....

      เช็คอินเข้าที่พักเรียบร้อยก็ทำการหาข้อมูลท่องเที่ยวและการเดินทางจากเจ้าของเกสท์เฮ้าท์  จากนั้นก็เดินออกเดินสำรวจตลาดพร้อมทั้งหาอะไรหม่ำก่อนกลับเข้ามาอาบน้ำอาบท่านอน




****  คืนนี้เป็นคืนที่นอนหลับสนิทมาก...เมื่อหัวถึงหมอนก็หลับเป็นตาย และไม่มีความฝันใดๆมาคั่นกลาง ยิงยาวจนกระทั่งถึงตอนไก่โห่เลยทีเดียว




ย่านตัวเมืองและเกสท์เฮ้า (ภาพประกอบจากกลูเกิล )



   อีกเช่นเคยเมื่อตื่นเช้าขึ้นมาก็ต้องรีบจัดแจงหาพาหนะคู่ชีพ ... ซึ่งก็เป็นมอเตอร์ไชต์ซึ่งเช่าจากเจ้าของเกสท์เฮ้าท์ที่เราอยู่นี่เอง   (ราคาค่าเช่าก็ประมาณ 250 -300 บาทต่อ 24 ชั่วโมง)



ได้เวลาเสือเผ่น

  เมื่อพาหนะเรียบร้อยก็ได้เวลาเสือเผ่น ....ซึ่งก็เผ่นไปตามแผ่นที่ท่องเที่ยวโดยเริ่มจากใกล้ไปหาไกล  และเริ่มต้นด้วยการไปเข้าถ้ำที่อยู่ใกล้ก่อนเลย ... นั่นคือถ้ำจัง


ถ้ำจัง (Tham Chang)

   ถ้าจังจะอยู่ใกล้ๆก้บตัวเมืองระยะทางกิโลกว่าๆ  โดยอยู่ด้านหลังของวังเวียงรีสอร์ท (Vang Vieng Resort )

    สำหรับการเข้าชมจะต้องผ่านด่านเก็บเงินถึง 2 ด่าน คือด่านหน้าทางเข้ารีสอร์ท 2000 กีบ เนื่องจากต้องเดินผ่านทะลุจากรีสอร์ทเพื่อไปข้ามสะพานข้ามแม้น้ำสีส้มดังรูป    กับ ด่านค่าเข้าชมถ้ำอีก  15,000 กีบ

 ทางขึ้นจะมีบันไดทำเป็นทางขึ้นและมีความสูงถึง  147  ขั้น  ... และตรงปากถ้ำจะสามารถมองเห็นวิวของเมืองวังเวียงและลำน้ำซองไหลผ่านได้อย่างชัดเจน ซึ่งเป็นภาพความสวยงามท่ามกลางขุนเขา

จุดเด่นของที่นี่ก็เป็นไปตามชื่อเลยคือ "จัง"   ซึ่งสื่อถึงความหนาวเย็นจนตัวสั่นหรืออาการจังนั่นเอง ...

บรรยากาศภายในถ้ำจะมีความงดงามสมคำลำลือ และเย็นฉ่ำชื่นใจประดุจดังว่าถ้ำนี้ติดแอร์เลยที่เดียว...


สะพานข้ามจากวังเวียงรีสอร์ทไปยังถ้ำจัง

บรรยากาศภายในถ้ำจัง   ซึ่งจริงๆแล้วมีความงดงามมากกว่านี้ แต่เนื่องจากกล้องไม่ค่อยดีและถ่ายในที่มืดไม่ติด ก็เลยได้ภาพมาน้อยมาก


ทัศนียภาพของเมืองวังเวียงเมื่อมองจากมุมสูง จากถ้ำจัง


 เมื่อไปมุดๆก้มๆเงย และป่ายปีนเข้าไปเยี่ยมชมภายในถ้าเสร็จ   ก็ขี่มอไชต์คู่ชีพไปยังจุดนัดพบของนัดท่องเที่ยวถัดไปนั่นคือ บลูลากูน (Blue lagoon )  และถ้าปู



Blue lagoon

 ....... Ever wanted to feel a bit like you were in Avatar? 
เคยต้องการมีความรู้สึกราวกับว่าตัวเองได้อยู่ในยุคอวตารบ้างไหม ? ....  คำถามที่เขียนถึงความรู้สึกและความประจับใจที่เกิดขึ้นกับบลูลากูน
ภาพประกอบจากกลูเกิล
     
บลูลากูนเป็นลำธารเล็กๆที่เกิดจากสายน้ำที่ไหลออกมาจากป่าลึกบริเวณใกล้ เคียง   ลำธารมีสีฟ้าสะอาดสดใสและเย็นฉ่ำชื่นใจ ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งที่จะแหวกว่ายเล่นกับเพื่อนๆและครอบครัวตอนช่วงบ่ายๆ อากาศร้อนๆ

นอกจากนั้นธรรมชาติยังได้ออกแบบทัศนียภาพไว้ได้อย่างลงตัว โดยมีต้นไม้ใหญ่ทอดกิ่งก้านลงไปกลางลำธาร ซึ่งสามารถใช้ทำเป็นแพลตฟอร์มโดดน้ำได้เป็นอย่างดี  ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นสวรรค์เล็กๆของนักท่องเที่ยวต่างชาติเลยที่เดียว โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวที่มาป่าคอนกรีตที่ไม่มีโอกาสได้สัมผัสบรรยากาศแบบนี้มาก่อน




ภาพประกอบจากกลูเกิล
บรรยากาศยามช่วงเวลาเกือบ 11  โมงเช้ากว่าๆ ซึ่งช่วงเวลาที่เสือน้อยไปถึง และก็ได้ลงเล่นน้ำสัมผัสสายน้ำใสสะอาดและเย็นฉ่ำชื่นใจกับเขาด้วยเช่นกันก่อนที่จะไปเข้าถ้าที่อยู่ติดๆกัน 




ถ้ำปูคำ หรือ ถ้ำปูทองคำ (Tam Pu Kam / Blue Lagoon) 
  
    ถ้านี้จะอยู่ข้างๆกับลำธารบลูลากูน ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระนอนสำริดจากประเทศไทย ... ด้านหน้าทางขึ้นจะมีสระน้ำมรกตที่ใสสะอาดซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถลงไปเล่นน้ำได้ ..

    ทางขึ้นค่อนข้างสูงชันและภายในถ้ำเมื่อเข้าไปลึกจะค่อนข้างมืดสนิท  ดังนั้นควรมีไฟฉายติดตัวหรือไม่ก็เช่าจากหน้าปากถ้ำก่อนเข้าไปเที่ยวชมในถ้ำ ...   ถ้ามีขนาดใหญ่และมีพระนอนอยู่ด้านในพร้อมด้วยลำแสงที่สอดส่องเข้ามาในถ้ำซึ่งก็ดูสวยงามและนอกจากนั้นยังประกอบไปด้วยหินงอกและหินย้อยแวววับระยิบระยับดุจดังเพชรงดงาม







        ถ้ำปู จะหมายถืง ถ้ำปูทองคำ ... ซึ่งภายในเล่ากันว่าจะมีปูทองคำอาศัยอยู่  แต่ก็เป็นอะไรที่หาเจอได้ยากโดยเชื่อกันว่าหากใครได้มีโอกาสพบเห็นนั้นถือว่าเป็นคนค่อนข้างโชคดีที่เดียวเลย





***  การเที่ยวชมถ้ำนี้ ทำเอาเสียเหงื่อไปพอสมควร   ดังนั้นถ้าจะให้ดีควรเข้ามาเที่ยวชมภายในถ้ำนี้ก่อนที่จะลงไปเล่นน้ำในลำธารบลูลากูล  

ในระหว่างทางที่เดินทางกลับจากบลูลากูน  อังเอิญได้เจอหนูๆ นักเรียนกำลังเดินทางกลับบ้าน  ก็เลยเก็บภาพมาฝากกัน


หลังจากสดชื่นกับสายธารและได้ออกกำลังกายกับการปื่นป่ายภายในถ้ำเรียบร้อยแล้ว  ตามโปรแกรมแล้วก็น่าจะต้องไปสนุกกับการผจญภัยทางน้ำอย่างกิจกรรมพายเรือและล่องห่วงยางตามลำน้ำซองดังภาพประชาสัมพันธ์ด้านล่างนี้



      แต่เนื่องจากพื้นฐานเราเป็นคนเมืองสมุทรลูกน้ำเค็มและค่อนข้างคุ้นเคยกิจกรรมทางน้ำ (เคยว่ายน้ำเล่นจากฝั่งมหาชัยไปฝั่งท่าฉลอมมาแล้ว)    ดังนั้นโปรแกรมนี้ก็เลยเป็นอะไรที่ไม่น่าสนใจสำหรับเรา  และที่สำคัญทริปนี้ฉายเดี่ยวด้วยจึงเกรงว่าจะไม่สะดวกกับกิจกรรมทางน้ำสักเท่าไหร่ .... ดังนั้นก็เลยเปลี่ยนเส้นทางหันหัวมอเตอร์ไชต์ขึ้นไปทางตอนเหนือเพื่อไปเยี่ยมชมหมู่บ้านชาวมูเซอ...

      แต่เมื่อมาถึงก็ต้องผิดหวังเล็กๆ  เนื่องจากวิธีชีวิตของมูเซอที่นี่ไม่่ต่างอะไรกับชาวบ้านทั่วไป  ...ไม่มีอะไรแปลกตาให้ได้ดูชม


        ขับรถมอไชต์ทางจากตัวเมืองมาหลายกิโลฯ  หลงบ้างเลยบ้างกว่าจะมาถึงก็เป็นเวลาบ่ายแก่ๆ และหลังจบการเดินเที่ยวชมหมู่บ้านชาวมูเซอเรียบร้อยแล้ว ก็คงจะเดินทางต่อไปไหนไม่ได้อีก .. ดังนั้นจึงตัดสินใจหยุดพักและเข้าไปทักทายพูดคุยกับชาวบ้านที่อยู่ใกล้ๆกับหมู่บ้านมูเซอดู ว่าในชีวิตประจำวันของเขาแต่ละวันนั้นมีกิจกรรมอะไรกันบ้าง


แวะเข้าไปทานน้ำ  ครอบครัวนี้มีอาชีพทำไร่แตงโมง   วันนี้สาวน้อยไม่ได้ออกไปไร่ ก็อยู่บ้านนั่งทำบายศรีร่วมกับแม่และพี่สาว


    เมื่อกลับมาถึงตัวเมืองก็อาบน้ำอาบท่าให้สดชื่นพร้อมทั้งออกไปหาอะไรหม่ำ .... เมื่อสำรวจไปรอบๆ ก็พบว่าอาหารยอดฮิตของที่ก็คือ โรตี  แซนวิช เบอร์เกอร์  ซึ่งก็มีขายอยู่ทั่วไป    โดยเฉพาะโรตีซึ่งจะเป็นเมนูที่ขึ้นชื่อเลยทีเดียว ถึงกับมีคำกล่าวว่า " หากไม่ได้กินโรตีที่นี่ก็เท่ากับมาไม่ถึงวังเวียง "

    ไอ้เรามันเป็นคนประเภทถึงไหนถึงกัน เรียกว่าเมื่อเดินทางไปไหนแล้วก็มักจะถึง ...  ดังนั้นก็จึงไม่ลังเลที่จะสั่งโรตีมาหม่ำกับเขาด้วยเช่นกัน....


.(ภาพประกอบจากกลูเกิล)  บรรยากาศรถเข็นขายโรตี ที่มีอยู่ทั่วไปในตลาดวังเวียง  ส่วนราคาก็ชิ้นละ 10,000 กีบ หรือประมาณ 40 บาท.


และเมื่ออิ่มหนำสำราญแล้วก็เข้าสู่โหมดการสนทนาพูดคุย  เพื่อสอบถามถึงสถานที่ท่องเที่ยวสำหรับวันถัดไป...แต่จากเท่าที่พูดคุยก็พอสรุปได้ว่าสถานที่สำคัญๆเช่นถ้ำต่างๆและบลูลากูนเราก็ไปมาหมดแล้ว ซึ่งก็คงจะเหลือเฉพาะการนั่งบอลลูนชมทัศนียภาพของวังเวียงกับกิจกรรมทางน้ำดังที่กล่าวมาข้างต้น 

สำหรับวิถีชีวิตการทำงานนั้น ส่วนใหญ่นั้นก็จะต้องนั่งเครื่องฯและนั่งเฮลิคอปเตอร์ออกไปทำงานนอกชายฝั่งอยู่เป็นประจำอยู่แล้ว  ซึ่งก็ใช้ชีวิตอยู่กับความเสี่ยงเป็นประจำอยู่แล้ว  ดังนั้นอะไรที่มันค่อนข้างจะเสี่ยงๆอีก เช่นการนั่งบอลลูนลอยฟ้าเราก็จะไม่ค่อยสนุกด้วย... ส่วนกิจกรรมทางน้ำนั้น ...ไอ้เราก็ลูกน้ำเค็มโดยธรรมชาติ  ตั้งแต่เล็กจนโตก็คลุกคลีอยู่กับแม่น้ำลำคลองและท้องไร่ท้องนา  ดังนั้นจึงเลือกที่จะโปรแกรมนี้ออกจากการเดินทาง

  และเมื่อผลสรุปเป็นเช่นนี้  เราก็เลยต้องมีการปรับแผนแบบกระทันหันและเดินเข้าหาร้านขายตั๋วรถโดยสารเพื่อเดินทางต่อไปยังที่หมายถัดไปในทันที ... และจุดหมายถัดไปก็คือเมืองมรดกโลก  เมืองหลวงพระบาง ครับท่านผู้ชม



   โปรดอย่าลืมไปดูเสือน้อยไปเพ่นพ่านต่อที่หลวงพระบางนะครับ    !!!  (แล้วพบกันใหม่ในตอนต่อไป)


   ขออภัยที่ภาพไม่ค่อยชัด  เนื่องจากใช้กล่องโทรศัพท์มือถือ    ตอนนี้เก็บตังค์ซื้อกล้องใหม่อยู่   ครั้งต่อๆไปคงมีภาพสวยๆกว่านี้มาฝากกัน

No comments:

Post a Comment