แอปเปิ้ลลูกละหมื่นบาท
เคยมีคำถามผมหลังไมค์ว่า โดยอาชีพของผมซึ่งต้องเดินทางเข้าๆออกๆประเทศเพื่อนบ้านอยู่บ่อยๆ ไม่ทราบว่าเคยมีปัญหากับเกี่ยวกับการผ่านเข้าเมืองบ้างหรือไม่?
คำตอบคือส่วนมากจะผ่านตลอดและไม่ค่อยมีปัญหาครับ...เพราะเกือบทุกครั้งที่มีการเดินทางไปเราจะมีวีซ่าพร้อมด้วยหนังสือเชิญ (Invitation letter ) เป็นที่เรียบร้อย(บริษัทจะเป็นผู้ดำเนินการให้) ซึ่งถึงแม้ว่าประเทศในกลุ่มอาเซี่ยนจะไม่ต้องใช้วีซ่าก็ตามแต่ถ้าเป็นการเดินทางเพื่อเข้าไปทำงานนั้นจำเป็นจะต้องมีวีซ่าทำงาน...
แต่อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าเราจะมีวีช่าและหนังสือเชิญเรียบร้อยแล้วก็ตาม แต่ในบางประเทศก็ยังมีเรื่องที่ทำให้รู้สึกเซ็งๆได้เช่นกัน เช่นเยอรมันและโซนแถบออสเตรเลีย
ที่เยอรมันนั้นดูเหมือนเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองจะมีทัศนคติที่ไม่ค่อยเป็นบวกต่อคนไทยและเพื่อนบ้านในแถบนีัสักเท่าไหร่...กล่าวคือจะมองเราด้วยสายตาที่ไม่ค่อยอยากจะต้อนรับเข้าประเทศสักเท่าไหร่ ซึ่งเรียกว่ากว่าจะผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองได้นั้นจะต้องงัดหลักฐานหลายอย่างออกมาแสดงกันวุ่นเลยเช่น หนังสือรับรองหรือหนังสือเชิญจากบริษัทที่จะไปดูงานหรือฝึกอบรม หลักฐานการจองโรงแรมหรือที่พักอาศัยในระหว่างที่พำนักอยู่ในเยอรมัน เงินที่นำติดตัวมา บัตรเครติด และอื่นๆ และหากเป็นผู้หญิงด้วยแล้วละก็จะยิ่งเจออะไรมากกว่าผู้ชาย...ผู้หญิงหลายคนถึงกับน้ำตาร่วงเพราะจะโดนเจ้าหน้าที่พาเข้าไปในห้องแล้วให้เปลื้องผ้าออกเพื่อตรวจดูร่างกายและของลับให้ใจว่า ไม่ได้มาเพื่อทำธุริจที่นาในเยอรมัน .....
ส่วนที่อินโดนีเซียนั้นปกติคนไทยเราจะไม่ต้องขอวีซ่าเข้าเมืองและสามารถอยู่ได้ 30 วัน ... แต่ถ้าเป็นการเดินทางเข้าไปทำงานนั้นเราจะต้องขอวีซ่าก่อนเดินทางไป หรือถ้าเป็นการเดินทางแบบเร่งด่วนและทำวีซ่าไม่ทันก็ไม่มีปัญหา.. ในกรณีนี้เราสามารถขอวีช่าแบบ Visa on Arrival ได้เมื่อเดินทางไปถึง ซึ่งจะมีเคาท์เตอร์ให้บริการอยู่บริเวณก่อนถึงจุดตรวจคนเข้าเมือง
โดยทั่วไปแล้วการเดินทางเข้าออกอินโดนีเซียถือว่าไม่มีอะไรที่เป็นปัญหาสำหรับคนไทย...ยกเว้นบางกรณีเมื่อเจ้าหน้าที่รับรู้ได้ว่าเราไม่ได้เดินทางเพื่อท่องเที่ยวแต่เป็นการเดินทางมาด้วยวัตถุประสงค์อย่างอื่นเช่นเดินทางมาเพื่อทำงานหรือเดินทางข้ามมาจากสิงคโปร์เพื่อมาจ๊อบพาสพอร์ตเท่านั้น* ซึ่งกรณีเช่นนี้เจ้าหน้าที่ก็ไม่ยอมให้ผ่านง่ายๆและมักจะใล่ให้ไปขอ Visa on Arrival ก่อนและต้องมีค่าใช้จ่ายประมาณ 25 U$ เคสนี้หากใครสามารถเบิกกับบริษัทได้ก็จะไม่มีปัญหาโดยการจ่ายเงินล่วงหน้าไปก่อนแล้วเอาหลักฐานไปเบิกคืน แต่สำหรับบางท่านที่เดินทางข้ามมาด้วยเหตุผลส่วนตัวและนำใบเสร็จไปเบิกได้กับเฉพาะสามีหรือภรรยาเท่านั้น ผมก็จะเห็นเขาเลือกใช้วิธีประหยัดโดยการแนบดอลล่าร์เป็นค่าน้ำร้อนน้ำชาไปกับพาสปอร์ตก่อนที่จะส่งให้เจ้าหน้าที่ตรวจประทับตรา ซึ่งก็เวิร์คและทำให้ชีวิตง่ายขึ้น...แต่อย่างไรก็ตามหากจะว่าไปแล้ววิธีนี้ก็สามารถนำใช้ได้ในหลายประเทศในแถบอาเซี่ยน
* หมายถึงด่านที่เกาะบาตั้ม (Batam) ที่อยู่ใกล้ๆกับสิงคโปร์ ซึ่งจะมีคนส่วนหนึ่งแก้ปัญหาเรื่องวีซ่าหมดอายุด้วยการนั่งเรือข้ามไปที่เกาะนี้ และเดินทางกลับในวันเดียวกันในตอนบ่ายหรือตอนเย็นเพื่อจ๊อบพาสปอร์ต เพื่อที่จะอยู่ในสิงคโปร์ต่อได้อีก 30 วัน
ส่วนที่ออสเตรียเลียนั้นผมเคยเจอปัญหาใหญ่ๆหนึ่งครั้ง เมื่อตอนเดินทางไปที่เมืองเพิร์ทซึ่งเป็นการเดินทางไปออสเตรเลียเป็นครั้งที่ 3 และจะนำมาเล่าสู่กันฟังในโอกาสต่อไป แต่วันนี้จะขอเล่าถึงเรืองแอปเปิลลูกละหมื่นที่นิวซีแลนด์ให้ฟังก่อนก็แล้วกัน
โดยปกติแล้วผมเป็นคนที่ชอบดื่มกาแฟโดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนเช้าๆเพื่อทำให้ร่างกายสดชื่นและตื่นจากภวังค์..
.แต่อย่างไรก็ตามกาแฟก็มีทั้งผลดีและเสีย สำหรับข้อดีนั้นเชื่อว่าหลายๆท่านคงทราบดีว่าสารคาเฟอีน (Caffeine) ที่อยู่ในกาแฟนั้นจะช่วยให้เกิดการประปี้กระเป่าและช่วยให้ร่างกายสดชื่น
ส่วนผลกระทบนั้นในแต่ละคนจะได้รับแตกต่างกันไป สำหรับผมจะมีปัญหาเวลาท้องว่างมากๆ ซึ่งจะทำให้รู้สึกหิวจนกระทั่งถึงระดับขาแข้งและมือไม้สั่นและอ่อนแรงปวกเปียกเลยทีเดียว ดังนั้นวิธีป้องกันไม่ให้เกิดการหิวหรือท้องว่างเกินไป ผมก็จะพกของกินเล็กๆน้อยๆติดตัวไว้เสมอๆ และอีกเหตุผลที่ต้องทำเช่นนั่นก็เพระว่าที่สิงคโปร์นั้นค่อนข้างที่จะหาซื้ออะไรกินยาก...ไม่มีแผงลอยหรือร้านค้าที่หาได้ทั่วไปอย่างประเทศไทยของเรา ... บ้านเรานั้นต้องบอกว่า " หิวเมื่อใดก็หวดได้ทันที" เรียกว่าไม่ต้องพกห่อข้าวไปจากบ้าน .... ส่วนที่สิงคโปร์นั้นหากต้องการจะหาอะไรใส่ท้องสักหน่อยก็ต้องเดินกันหลายหนึบ(ไม่มีมอไซต์รับจ้างด้วย) โดยเฉพาะอย่างยิ่งออฟฟิศหรือบริษัทที่อยู่ในเขตอุตสาหกรรม ซึ่งหากเป็นออฟฟิศหรือบริษัทที่มีพนักงานไม่มากจริงๆแล้วละก็ ก็จะไม่มีร้านขายอาหารภายในบริษัท ดังนั้นหากจะหาอะไรหม่ำแต่ละครั้งก็จะต้องเดินไปที่ศูนย์อาหาร ( food court ) ซึ่งเป็นศูนย์อาหารที่หลายๆบริษัทจะมาใช้บริการร่วมกัน..... ดังนั้นทางออกสำหรับคนที่แพ้กาแฟในยามท้องว่างอย่างผมก็คือจะซื้อแอปเปิลติดเป้(โน๊ตบุู๊ค) ไว้ตลอดอย่างน้อยๆ 1 ผล ...
แอปเปิลจัดได้ว่าเป็น 2 in 1 นั้นคือนอกจากจะช่วยบรรเทาความหิวยามท้องว่างแล้ว แอปเปิลยังเป็นผลไม้เพื่อสุขภาพอีกด้วยดังคำกล่าวที่ว่า one apple a day keep doctor away ....หรือหมายถึงกินแอปเปิลอย่างน้อยวันละหนึ่งผลนั้นจะช่วยทำให้สุขภาพดีและไม่ต้องไปหาหมอกันบ่อยๆนั่นเอง
และด้วยความเชื่อที่ว่าแอปเปิลจะทำให้สุขภาพดี ก็เลยทำให้ผมมักมีแอปเปิลติดไว้ประจำๆ ซึ่งบางครั้งก็เกือบเน่าคากระเป๋าเพราะลืมกิน .... และด้วยเพราะความหลงๆลืมในบางครั้งนี่เอง ก็เลยทำให้เกิดงานเข้าตามมาเลย....
งานเข้า @ March 6th, 2013
6 มีนาคม 2556 คือวันที่ผมได้รับมอบหมายจากผู้บังคับให้เดินทางไปตรวจเช็คสุขภาพและแก้ปัญหาทางเทคนิค (Inspection & Troubleshooting) ของระบบควบคุมสว่านเจาะน้ำมันที่ประเทศนิวซีแลนด์...
สำหรับนิวซีแลนด์เป็นประเทศที่ผมยังไม่เคยเดินทางไปมาก่อนเลยในชีวิต...ดังนั้นจึงถือว่าเป็นอะไรที่ตื่นเต้นที่จะมีโอกาสได้ไปสูดอากาศและเห็นประเทศที่มีชื่อเสียงในเรื่องความงดงามของธรรมชาติ
ผมบินตรงจากสิงคโปร์ด้วยสายการบินสิงคโปร์แอร์ไลน์และมาแลนดิ้งที่ท่าอากาศยานโอ๊คแลนด์ด้วยความนิ่มนวลเวลาสิบเอ็ดนาฬิกาสามสิบนาทีโดยประมาณ...และเมื่อวีซ่า+หลักฐานการเดินทางพร้อม ก็เป็นอันว่าไม่มีปัญหาอะไรเรื่องผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง...ผ่านสามารถด่าน ต.ม. ได้อย่างสะดวก
สำหรับสิ่งของในกระเป๋าเดินทางนั้นก็ไม่มีอะไรมากหลักๆก็จะมีแต่อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล เช่นชุดหมีสำหรับทำงาน รองเท้าบู๊ท หมวกนิรภัย หรือเรียกย่อๆว่า PPE (Personal protective equipment)พร้อมกับเครื่องมือที่ใช้สำหรับทำงาน
ส่วนเป้สะพายหลังก็มีแต่โน๊ตบุ๊คและเอกสารเพื่อที่ใช้ประกอบการทำงาน ซึ่งก็มั่นใจว่าคงไม่มีอะไรที่เป็นสิ่งของต้องห้ามหรือสิ่งของผิดกฏหมาย ดังนั้นจึงเลือกผ่านช่องที่เขียนบอกว่าไม่มีสิ่งของต้องสำแดงและก็วางกระเป๋าผ่านเครื่องเอ็กซเรย์แบบมั่นใจ....
สัมภาระผ่านเครื่องเอกเซร์แบบราบรื่นและไม่ต้องเปิดให้เจ้าหน้าที่ดู....แต่หลังจากผ่านเครื่องเอ็กซเรย์ไปได้ 20 เมตร ก็มีเจ้าหน้าที่พร้อมสุนัขเดินมาขอเช็คสัมภาระอีกรอบ โดยให้สุนัขเป็นผู้ดมกลิ่นพิสูจน์สิ่งของในกระเป๋า...ซึ่งผมเองก็เต็มใจและให้ความร่วมมืออย่างมากเพราะมั่นใจว่าไม่ได้นำสิ่งของต้องห้ามเข้ามาที่นี่
เจ้าหมาน้อยเดินดมกลิ่นและวนเวียนรอบๆสัมภาระอยู่สักครู่ ...จากนั้นก็มาหยุดตรงที่เป้สะพายโน๊ตบุ๊คส์ ... ไอ้เราก็สงสัยและคิดในใจว่า. มันจะมาหยุดตรงนี้ทำไมหว่า? ทำไมไม่ผ่านไป..ตรูไม่ได้เอาอะไรมาเลยนอกเหนือจากเครื่องมือที่ใช้สำหรับทำงาน.....และหลังจากหมาหยุดอยู่กับที่และไม่ยอมเดินไปไหนต่อ..ก็เลยเป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ที่ควบคุมหมามาขอเปิดดูกระเป๋า ...
OMG !!! เจ้าหน้าที่แจ้งว่าคุณได้เอาสิ่งของต้องห้ามเข้ามาในประเทศนั่นคือ แอปเปิ้ล .... เจ้าหน้าที่แจ้งว่าสินค้าทางการเกษตร ผลไม้ รวมถึงแอปเปิ้ลเป็นของต้องห้ามและต้องสำแดงต่อเจ้าหน้าที่หากนำติดตัวมา...
เจ้าหน้าที่พาผมเข้าออฟฟิศและส่งต่อให้ผู้บังคับบัญชา ... เจ้าหน้าที่แจ้งข้อหาว่าผมนำของต้องห้ามเข้าประเทศและจะต้องเสียค่าปรับ 400 เหรียญนิวซีแลนด์ (ประมาณเกือบๆหนึ่งหมื่นบาทถ้าแปลงเป็นเงินไทย)
ผมพยายามชี้แจงว่าไม่ได้มีเจตนาเลยที่จะทำผิดกฏระเบียบบ้านเมืองของท่าน...แต่เป็นเพราะว่าผมมักพกมันติดกระเป๋าเป็นประจำจนเป็นนิสัย และบางครั้งก็ลืมที่จะกินมัน ซึ่งก็เลยหลงมาถึงที่นี่ ...
ส่วนเจ้าหน้าที่ก็ตอบผมอย่างเห็นใจว่า “ผมเข้าใจ ( I'm understood ๆๆๆ.. ) แต่ว่ามันคือกฏระเบียบ ๆ ...และกล่าวว่าของสิ่งนี้คุณต้องสำแดงหรือ Declare ก่อน... แต่ถ้าผ่านเลยถึงสุนัขแล้วละก็คุณไม่มีทางเลือกอื่นๆ นอกจากต้องเสียค่าปรับแบบเต็มจำนวนอย่างเดียว...
ผมพยายามขอความเห็นใจให้ลดหย่อนอยู่นานสองนานเนื่องจากไม่ได้มีเจตนาจริงๆ แต่ก็ไม่เป็นผล...สุดท้ายเมื่อเวลากระชั้นชิดและใกล้เวลาที่ต้องบินต่อไปยังอีกเมืองหนึ่งด้วยสายการบินภายในประเทศของนิวซีแลนด์ ผมก็เลยต้องยุติร้องขอความเห็นใจจำใจจ่ายไปตามระเบียบแบบเซ็งๆ โดยใช้บัตรเครติดรูดจ่ายเป็นค่าปรับ ...
เซ็งเป็ด..เซ็งเป็ด (บ่น) ... แค่ลืมกินและหลงอยู่ในกระเป๋าเพียงแค่ลูกเดียว ...พณฯ เล่นปรับเป็นหมื่นเลยหรือนี่... เซ็งเป็ด..เซ็งเป็ด
แต่อย่างไรก็ตามปัญหาที่แท่นเจาะน้ำมันครั้งนี้ถือเป็นปัญหาที่ใหญ่มาก มีการระเบิดเถิดเทิงของอุปกรณ์ควบคุมหัวเจาะน้ำมันก่อนที่จะมีการติดต่อไปที่ออฟฟิศ ดังนั้นจึงมีหลายอย่างที่ต้องวิเคราะห์หาสาเหตุและทำการแก้ไข ดังนั้นจ๊อบนี้กว่าจะเสร็จและส่งคืนเครื่องจักรให้กับเจ้าของได้ ก็ใช้เวลาร่วมสองสัปดาห์ ..(รวมเวลาที่รออะไหล่ด้วย)
นอกจากนั้นหลังส่งคืนเครื่องจักรเข้าสู่โหมดการทำงานเรียบร้อยแล้ว ลูกค้าเองยังร้องขอให้แสตนบายอยู่อีกสองสัปดาห์ เพื่อให้แน่ใจว่าปัญหาเดิมๆจะไม่กลับมาอีก ซึ่งรวมเบ็ดเสร็จแล้วก็ประมาณหนึ่งเดือนเต็มสำหรับการมาเซอร์วิซจ๊อบนี้
ระบบการทำงานของเซอร์วิซฯ จะว่าไปแล้วมันก็คล้ายๆกับหมอนวดแผนโบราณ..ซึ่งบริษัทจะใช้ระบบอัตราก้าวหน้า นั่นคือทำมากได้มากทำน้อยได้น้อย ระบบนี้รายหลักจะเกิดจากจำนวนวันที่ออกมาทำงานหรือเซอร์วิซลูกค้า
ทริปนี้ถึงแม้เริ่มต้นจะดูไม่ค่อยสดใสสักเท่าไหร่(เพราะโดนปรับไปหลายตังค์) แต่อย่างไรก็ตามก็ยังโชคดีที่ได้อยู่เซอร์วิซยาวถึง 30 วันเต็มและได้รับโบนัสไปแบบเต็มๆเช่นกัน ซึ่งก็ทำให้สามารถลดอาการเซ็งเป็ดไปได้พอสมควร....
เรื่องนี้ต่อจากตอนที่แล้ว => เรื่องเล่าจากนิวซีแลนด์
ต้องการติดตามเรื่องเล่าอัพเดทล่าสุดส่งตรงถึงท่านรบกวนกดไลน์ที่นี่จร้า => ทางเสือผ่าน
ภาพประกอบจากกลูเกิล |
เคยมีคำถามผมหลังไมค์ว่า โดยอาชีพของผมซึ่งต้องเดินทางเข้าๆออกๆประเทศเพื่อนบ้านอยู่บ่อยๆ ไม่ทราบว่าเคยมีปัญหากับเกี่ยวกับการผ่านเข้าเมืองบ้างหรือไม่?
คำตอบคือส่วนมากจะผ่านตลอดและไม่ค่อยมีปัญหาครับ...เพราะเกือบทุกครั้งที่มีการเดินทางไปเราจะมีวีซ่าพร้อมด้วยหนังสือเชิญ (Invitation letter ) เป็นที่เรียบร้อย(บริษัทจะเป็นผู้ดำเนินการให้) ซึ่งถึงแม้ว่าประเทศในกลุ่มอาเซี่ยนจะไม่ต้องใช้วีซ่าก็ตามแต่ถ้าเป็นการเดินทางเพื่อเข้าไปทำงานนั้นจำเป็นจะต้องมีวีซ่าทำงาน...
แต่อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าเราจะมีวีช่าและหนังสือเชิญเรียบร้อยแล้วก็ตาม แต่ในบางประเทศก็ยังมีเรื่องที่ทำให้รู้สึกเซ็งๆได้เช่นกัน เช่นเยอรมันและโซนแถบออสเตรเลีย
ที่เยอรมันนั้นดูเหมือนเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองจะมีทัศนคติที่ไม่ค่อยเป็นบวกต่อคนไทยและเพื่อนบ้านในแถบนีัสักเท่าไหร่...กล่าวคือจะมองเราด้วยสายตาที่ไม่ค่อยอยากจะต้อนรับเข้าประเทศสักเท่าไหร่ ซึ่งเรียกว่ากว่าจะผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองได้นั้นจะต้องงัดหลักฐานหลายอย่างออกมาแสดงกันวุ่นเลยเช่น หนังสือรับรองหรือหนังสือเชิญจากบริษัทที่จะไปดูงานหรือฝึกอบรม หลักฐานการจองโรงแรมหรือที่พักอาศัยในระหว่างที่พำนักอยู่ในเยอรมัน เงินที่นำติดตัวมา บัตรเครติด และอื่นๆ และหากเป็นผู้หญิงด้วยแล้วละก็จะยิ่งเจออะไรมากกว่าผู้ชาย...ผู้หญิงหลายคนถึงกับน้ำตาร่วงเพราะจะโดนเจ้าหน้าที่พาเข้าไปในห้องแล้วให้เปลื้องผ้าออกเพื่อตรวจดูร่างกายและของลับให้ใจว่า ไม่ได้มาเพื่อทำธุริจที่นาในเยอรมัน .....
ส่วนที่อินโดนีเซียนั้นปกติคนไทยเราจะไม่ต้องขอวีซ่าเข้าเมืองและสามารถอยู่ได้ 30 วัน ... แต่ถ้าเป็นการเดินทางเข้าไปทำงานนั้นเราจะต้องขอวีซ่าก่อนเดินทางไป หรือถ้าเป็นการเดินทางแบบเร่งด่วนและทำวีซ่าไม่ทันก็ไม่มีปัญหา.. ในกรณีนี้เราสามารถขอวีช่าแบบ Visa on Arrival ได้เมื่อเดินทางไปถึง ซึ่งจะมีเคาท์เตอร์ให้บริการอยู่บริเวณก่อนถึงจุดตรวจคนเข้าเมือง
โดยทั่วไปแล้วการเดินทางเข้าออกอินโดนีเซียถือว่าไม่มีอะไรที่เป็นปัญหาสำหรับคนไทย...ยกเว้นบางกรณีเมื่อเจ้าหน้าที่รับรู้ได้ว่าเราไม่ได้เดินทางเพื่อท่องเที่ยวแต่เป็นการเดินทางมาด้วยวัตถุประสงค์อย่างอื่นเช่นเดินทางมาเพื่อทำงานหรือเดินทางข้ามมาจากสิงคโปร์เพื่อมาจ๊อบพาสพอร์ตเท่านั้น* ซึ่งกรณีเช่นนี้เจ้าหน้าที่ก็ไม่ยอมให้ผ่านง่ายๆและมักจะใล่ให้ไปขอ Visa on Arrival ก่อนและต้องมีค่าใช้จ่ายประมาณ 25 U$ เคสนี้หากใครสามารถเบิกกับบริษัทได้ก็จะไม่มีปัญหาโดยการจ่ายเงินล่วงหน้าไปก่อนแล้วเอาหลักฐานไปเบิกคืน แต่สำหรับบางท่านที่เดินทางข้ามมาด้วยเหตุผลส่วนตัวและนำใบเสร็จไปเบิกได้กับเฉพาะสามีหรือภรรยาเท่านั้น ผมก็จะเห็นเขาเลือกใช้วิธีประหยัดโดยการแนบดอลล่าร์เป็นค่าน้ำร้อนน้ำชาไปกับพาสปอร์ตก่อนที่จะส่งให้เจ้าหน้าที่ตรวจประทับตรา ซึ่งก็เวิร์คและทำให้ชีวิตง่ายขึ้น...แต่อย่างไรก็ตามหากจะว่าไปแล้ววิธีนี้ก็สามารถนำใช้ได้ในหลายประเทศในแถบอาเซี่ยน
* หมายถึงด่านที่เกาะบาตั้ม (Batam) ที่อยู่ใกล้ๆกับสิงคโปร์ ซึ่งจะมีคนส่วนหนึ่งแก้ปัญหาเรื่องวีซ่าหมดอายุด้วยการนั่งเรือข้ามไปที่เกาะนี้ และเดินทางกลับในวันเดียวกันในตอนบ่ายหรือตอนเย็นเพื่อจ๊อบพาสปอร์ต เพื่อที่จะอยู่ในสิงคโปร์ต่อได้อีก 30 วัน
ส่วนที่ออสเตรียเลียนั้นผมเคยเจอปัญหาใหญ่ๆหนึ่งครั้ง เมื่อตอนเดินทางไปที่เมืองเพิร์ทซึ่งเป็นการเดินทางไปออสเตรเลียเป็นครั้งที่ 3 และจะนำมาเล่าสู่กันฟังในโอกาสต่อไป แต่วันนี้จะขอเล่าถึงเรืองแอปเปิลลูกละหมื่นที่นิวซีแลนด์ให้ฟังก่อนก็แล้วกัน
โดยปกติแล้วผมเป็นคนที่ชอบดื่มกาแฟโดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนเช้าๆเพื่อทำให้ร่างกายสดชื่นและตื่นจากภวังค์..
.แต่อย่างไรก็ตามกาแฟก็มีทั้งผลดีและเสีย สำหรับข้อดีนั้นเชื่อว่าหลายๆท่านคงทราบดีว่าสารคาเฟอีน (Caffeine) ที่อยู่ในกาแฟนั้นจะช่วยให้เกิดการประปี้กระเป่าและช่วยให้ร่างกายสดชื่น
ส่วนผลกระทบนั้นในแต่ละคนจะได้รับแตกต่างกันไป สำหรับผมจะมีปัญหาเวลาท้องว่างมากๆ ซึ่งจะทำให้รู้สึกหิวจนกระทั่งถึงระดับขาแข้งและมือไม้สั่นและอ่อนแรงปวกเปียกเลยทีเดียว ดังนั้นวิธีป้องกันไม่ให้เกิดการหิวหรือท้องว่างเกินไป ผมก็จะพกของกินเล็กๆน้อยๆติดตัวไว้เสมอๆ และอีกเหตุผลที่ต้องทำเช่นนั่นก็เพระว่าที่สิงคโปร์นั้นค่อนข้างที่จะหาซื้ออะไรกินยาก...ไม่มีแผงลอยหรือร้านค้าที่หาได้ทั่วไปอย่างประเทศไทยของเรา ... บ้านเรานั้นต้องบอกว่า " หิวเมื่อใดก็หวดได้ทันที" เรียกว่าไม่ต้องพกห่อข้าวไปจากบ้าน .... ส่วนที่สิงคโปร์นั้นหากต้องการจะหาอะไรใส่ท้องสักหน่อยก็ต้องเดินกันหลายหนึบ(ไม่มีมอไซต์รับจ้างด้วย) โดยเฉพาะอย่างยิ่งออฟฟิศหรือบริษัทที่อยู่ในเขตอุตสาหกรรม ซึ่งหากเป็นออฟฟิศหรือบริษัทที่มีพนักงานไม่มากจริงๆแล้วละก็ ก็จะไม่มีร้านขายอาหารภายในบริษัท ดังนั้นหากจะหาอะไรหม่ำแต่ละครั้งก็จะต้องเดินไปที่ศูนย์อาหาร ( food court ) ซึ่งเป็นศูนย์อาหารที่หลายๆบริษัทจะมาใช้บริการร่วมกัน..... ดังนั้นทางออกสำหรับคนที่แพ้กาแฟในยามท้องว่างอย่างผมก็คือจะซื้อแอปเปิลติดเป้(โน๊ตบุู๊ค) ไว้ตลอดอย่างน้อยๆ 1 ผล ...
แอปเปิลจัดได้ว่าเป็น 2 in 1 นั้นคือนอกจากจะช่วยบรรเทาความหิวยามท้องว่างแล้ว แอปเปิลยังเป็นผลไม้เพื่อสุขภาพอีกด้วยดังคำกล่าวที่ว่า one apple a day keep doctor away ....หรือหมายถึงกินแอปเปิลอย่างน้อยวันละหนึ่งผลนั้นจะช่วยทำให้สุขภาพดีและไม่ต้องไปหาหมอกันบ่อยๆนั่นเอง
และด้วยความเชื่อที่ว่าแอปเปิลจะทำให้สุขภาพดี ก็เลยทำให้ผมมักมีแอปเปิลติดไว้ประจำๆ ซึ่งบางครั้งก็เกือบเน่าคากระเป๋าเพราะลืมกิน .... และด้วยเพราะความหลงๆลืมในบางครั้งนี่เอง ก็เลยทำให้เกิดงานเข้าตามมาเลย....
งานเข้า @ March 6th, 2013
6 มีนาคม 2556 คือวันที่ผมได้รับมอบหมายจากผู้บังคับให้เดินทางไปตรวจเช็คสุขภาพและแก้ปัญหาทางเทคนิค (Inspection & Troubleshooting) ของระบบควบคุมสว่านเจาะน้ำมันที่ประเทศนิวซีแลนด์...
สำหรับนิวซีแลนด์เป็นประเทศที่ผมยังไม่เคยเดินทางไปมาก่อนเลยในชีวิต...ดังนั้นจึงถือว่าเป็นอะไรที่ตื่นเต้นที่จะมีโอกาสได้ไปสูดอากาศและเห็นประเทศที่มีชื่อเสียงในเรื่องความงดงามของธรรมชาติ
ผมบินตรงจากสิงคโปร์ด้วยสายการบินสิงคโปร์แอร์ไลน์และมาแลนดิ้งที่ท่าอากาศยานโอ๊คแลนด์ด้วยความนิ่มนวลเวลาสิบเอ็ดนาฬิกาสามสิบนาทีโดยประมาณ...และเมื่อวีซ่า+หลักฐานการเดินทางพร้อม ก็เป็นอันว่าไม่มีปัญหาอะไรเรื่องผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง...ผ่านสามารถด่าน ต.ม. ได้อย่างสะดวก
สำหรับสิ่งของในกระเป๋าเดินทางนั้นก็ไม่มีอะไรมากหลักๆก็จะมีแต่อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล เช่นชุดหมีสำหรับทำงาน รองเท้าบู๊ท หมวกนิรภัย หรือเรียกย่อๆว่า PPE (Personal protective equipment)พร้อมกับเครื่องมือที่ใช้สำหรับทำงาน
ส่วนเป้สะพายหลังก็มีแต่โน๊ตบุ๊คและเอกสารเพื่อที่ใช้ประกอบการทำงาน ซึ่งก็มั่นใจว่าคงไม่มีอะไรที่เป็นสิ่งของต้องห้ามหรือสิ่งของผิดกฏหมาย ดังนั้นจึงเลือกผ่านช่องที่เขียนบอกว่าไม่มีสิ่งของต้องสำแดงและก็วางกระเป๋าผ่านเครื่องเอ็กซเรย์แบบมั่นใจ....
สัมภาระผ่านเครื่องเอกเซร์แบบราบรื่นและไม่ต้องเปิดให้เจ้าหน้าที่ดู....แต่หลังจากผ่านเครื่องเอ็กซเรย์ไปได้ 20 เมตร ก็มีเจ้าหน้าที่พร้อมสุนัขเดินมาขอเช็คสัมภาระอีกรอบ โดยให้สุนัขเป็นผู้ดมกลิ่นพิสูจน์สิ่งของในกระเป๋า...ซึ่งผมเองก็เต็มใจและให้ความร่วมมืออย่างมากเพราะมั่นใจว่าไม่ได้นำสิ่งของต้องห้ามเข้ามาที่นี่
เจ้าหมาน้อยเดินดมกลิ่นและวนเวียนรอบๆสัมภาระอยู่สักครู่ ...จากนั้นก็มาหยุดตรงที่เป้สะพายโน๊ตบุ๊คส์ ... ไอ้เราก็สงสัยและคิดในใจว่า. มันจะมาหยุดตรงนี้ทำไมหว่า? ทำไมไม่ผ่านไป..ตรูไม่ได้เอาอะไรมาเลยนอกเหนือจากเครื่องมือที่ใช้สำหรับทำงาน.....และหลังจากหมาหยุดอยู่กับที่และไม่ยอมเดินไปไหนต่อ..ก็เลยเป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ที่ควบคุมหมามาขอเปิดดูกระเป๋า ...
OMG !!! เจ้าหน้าที่แจ้งว่าคุณได้เอาสิ่งของต้องห้ามเข้ามาในประเทศนั่นคือ แอปเปิ้ล .... เจ้าหน้าที่แจ้งว่าสินค้าทางการเกษตร ผลไม้ รวมถึงแอปเปิ้ลเป็นของต้องห้ามและต้องสำแดงต่อเจ้าหน้าที่หากนำติดตัวมา...
เจ้าหน้าที่พาผมเข้าออฟฟิศและส่งต่อให้ผู้บังคับบัญชา ... เจ้าหน้าที่แจ้งข้อหาว่าผมนำของต้องห้ามเข้าประเทศและจะต้องเสียค่าปรับ 400 เหรียญนิวซีแลนด์ (ประมาณเกือบๆหนึ่งหมื่นบาทถ้าแปลงเป็นเงินไทย)
ผมพยายามชี้แจงว่าไม่ได้มีเจตนาเลยที่จะทำผิดกฏระเบียบบ้านเมืองของท่าน...แต่เป็นเพราะว่าผมมักพกมันติดกระเป๋าเป็นประจำจนเป็นนิสัย และบางครั้งก็ลืมที่จะกินมัน ซึ่งก็เลยหลงมาถึงที่นี่ ...
เซ็งเปิด...ภาพประกอบจากกลูเกิล |
ผมพยายามขอความเห็นใจให้ลดหย่อนอยู่นานสองนานเนื่องจากไม่ได้มีเจตนาจริงๆ แต่ก็ไม่เป็นผล...สุดท้ายเมื่อเวลากระชั้นชิดและใกล้เวลาที่ต้องบินต่อไปยังอีกเมืองหนึ่งด้วยสายการบินภายในประเทศของนิวซีแลนด์ ผมก็เลยต้องยุติร้องขอความเห็นใจจำใจจ่ายไปตามระเบียบแบบเซ็งๆ โดยใช้บัตรเครติดรูดจ่ายเป็นค่าปรับ ...
เซ็งเป็ด..เซ็งเป็ด (บ่น) ... แค่ลืมกินและหลงอยู่ในกระเป๋าเพียงแค่ลูกเดียว ...พณฯ เล่นปรับเป็นหมื่นเลยหรือนี่... เซ็งเป็ด..เซ็งเป็ด
แอปเปิ้ลลูกเดียว ปรับ 400 เหรียญ |
นอกจากนั้นหลังส่งคืนเครื่องจักรเข้าสู่โหมดการทำงานเรียบร้อยแล้ว ลูกค้าเองยังร้องขอให้แสตนบายอยู่อีกสองสัปดาห์ เพื่อให้แน่ใจว่าปัญหาเดิมๆจะไม่กลับมาอีก ซึ่งรวมเบ็ดเสร็จแล้วก็ประมาณหนึ่งเดือนเต็มสำหรับการมาเซอร์วิซจ๊อบนี้
ระบบการทำงานของเซอร์วิซฯ จะว่าไปแล้วมันก็คล้ายๆกับหมอนวดแผนโบราณ..ซึ่งบริษัทจะใช้ระบบอัตราก้าวหน้า นั่นคือทำมากได้มากทำน้อยได้น้อย ระบบนี้รายหลักจะเกิดจากจำนวนวันที่ออกมาทำงานหรือเซอร์วิซลูกค้า
ทริปนี้ถึงแม้เริ่มต้นจะดูไม่ค่อยสดใสสักเท่าไหร่(เพราะโดนปรับไปหลายตังค์) แต่อย่างไรก็ตามก็ยังโชคดีที่ได้อยู่เซอร์วิซยาวถึง 30 วันเต็มและได้รับโบนัสไปแบบเต็มๆเช่นกัน ซึ่งก็ทำให้สามารถลดอาการเซ็งเป็ดไปได้พอสมควร....
เรื่องนี้ต่อจากตอนที่แล้ว => เรื่องเล่าจากนิวซีแลนด์
ต้องการติดตามเรื่องเล่าอัพเดทล่าสุดส่งตรงถึงท่านรบกวนกดไลน์ที่นี่จร้า => ทางเสือผ่าน
No comments:
Post a Comment